Wednesday, May 14, 2014

พืชสมุนไพรไทยที่สำคัญ

พืชสมุนไพรไทยที่สำคัญ



     ในอดีตบรรพบุรุษของเรามีความสนใจใช้ พืชสมุนไพร เป็นอาหารและยามานานนับ ร้อยปี เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ จึงมีข้อมูลเป็นมรดกอันลํ้าค่าตกทอดให้กับนักวิจัยสมัยใหม่ ได้ค้นคว้าวิจัยกว้างไกลยิ่งขึ้น ความรู้พื้นฐานเพื่อการวิจัยพืชสมุนไพร อาจทำ ได้หลายแบบ เพื่อเป้าหมายต่างๆ กัน ได้แก่




  1. รู้จักลักษณะสรีรวิทยาของต้นพืช ใบ ดอก เนื้อผล ราก เมล็ด อย่างครบ ทุกระบบ 
  2. รู้จักการขยายพันธุ์แบบธรรมชาติและหาเทคนิคทันสมัยเพื่อเร่งขยายพันธุ์ ด้วย 
  3. รู้จักลักษณะพื้นที่เหมาะสมเพื่อการปลูกให้เจริญเติบโตได้ผลผลิตดีและมี คุณภาพตามต้องการ 
  4. รู้จักคุณภาพทางชีวเคมีของทุกๆ ส่วนของพืชสมุนไพร ซึ่งได้แก่ การรู้ฤทธิ์ เด่นชัดของสารเป็นยาที่มีอยู่ตามธรรมชาติในพืชนั้นๆเพราะส่วนต่างๆของ พืชอาจสะสมสารต่างชนิดกัน และควรทราบว่าสารออกฤทธิ์เป็นสารประเภท ใดเช่น มีสารเป็นยาสำ หรับบำ บัดอาการโรคใดฤทธิ์อ่อนแรงอย่างไร มีพิษ มากน้อยเพียงใด 
  5. รู้จักวิธีปรับปรุงพืชสมุนไพรอย่างไรเพื่อการบริโภคอย่างปลอดภัย


     การใช้พืชสมุนไพรในยุคนี้ก็เพื่อประสงค์ให้ประชาชนมีไว้เสริมสุขภาพให้แข็งแรงอายุ ยืนนานโดยไม่มีผลข้างเคียงรวมทั้งเพื่อการผลิตเป็นสินค้าพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และ ทดแทนการนำ เข้ายาบางชนิดที่สังเคราะห์จากสารเคมี ซึ่งประกอบด้วย ด้านกสิกรรมต้องรู้ จักพืชสมุนไพรในเชิงพฤกษศาสตร์แขนงต่างๆ เพื่อการเพาะปลูกผลิตให้ได้ปริมาณมากเพียง พอในเชิงพาณิชย์นำ มาซึ่งอุตสาหกรรมอาหารและยา ทางด้านเภสัชกรรมต้องรู้จักผลิตสาร ออกฤทธิ์เป็นยาหรืออาหารอนามัยเสริมสุขภาพ ขั้นสุดท้ายการแพทย์ควรสานต่อนำ ไปใช้ ในการบำ บัดโรคด้านสาธารณสุขมูลฐานของประชาชนทั้งในชนบทและในเมือง 

เท่าที่ทราบพืชสมุนไพรมีจำ นวนมากนับหมื่นชนิด แต่ต่างพันธุ์อาจมีคุณสมบัติของ สารธรรมชาติออกฤทธิ์เหมือนกันจึงสามารถใช้บำ บัดอาการโรคเดียวกันได้ นักวิทยาศาสตร์ ได้จัดพืชสมุนไพรตามชนิดสารธรรมชาติออกฤทธิ์ที่สกัดได้ รวมทั้งวิจัยค้นคว้าบำ บัดโรค และนำ มาใช้ได้อย่างเหมาะสม ดังการจัดหมวดหมู่ต่อไปนี้ 

  1. ใช้เป็นยาระบาย เช่น ผักมะขามเปรี้ยว ใบฝักมะขามแขก วุ้นว่านหางจระเข้ เนื้อเมล็ดคูณ เมล็ดชุมเห็ดเทศ ฯลฯ 
  2. ใช้เป็นยาแก้ท้องอืดขับลม เช่น จุกเร่ว เหง้าขิง ไหลว่านนํ้า ใบกะเพรา โหระพา ฯลฯ 
  3. ใช้เป็นยาระงับพิษภายนอก พิษแมลงกัดต่อย พิษร้อน เช่น ใบเสลดพังพอน ตัวเมียหัวหรือใบว่านมหากาฬ วุ้นว่านหางจระเข้ ฯลฯ 
  4. เป็นยาบาํ บัดโรคผิวหนังหรือบาํรุงรักษาผิวและผม เชน่ รากขมนิ้ ชนั วุ้นว่าน หางจระเข้ ว่านนางดำ ฯลฯ 
  5. ใช้ทาถูแก้บวม เช่น ไพล เอ็นเหลือง ฯลฯ 
  6. ใช้บริโภคเพื่อเคลือบกระเพาะสำ หรับผู้ป่วยโรคกระเพาะ เช่น บุก ฯลฯ 
  7. ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ เช่น หญ้าหนวดแมว รากสามสิบ ฯลฯ 
  8. ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ เช่น ใบพลูจีน หัวกระเทียม นํ้ามันกานพลู ฯลฯ 
  9. ใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย เช่น เปลือกมังคุด เนื้อผลดิบฝรั่ง ฯลฯ 
  10. ใช้เป็นยาลดความดันโลหิต เช่น รากระท่อม ฯลฯ


     พืชสมุนไพรที่ใช้ประโยชน์ได้อีกมาก การศึกษาค้นคว้าพืชสมุนไพร แบ่งออกได้ 2 แนวทางด้วยกัน คือ ยุคเก่านิยมในความขลังของพืชซึ่งเชื่อถือตามศาสนา และมีการทดลองใช้โดยอาศัยรูปร่างที่มีความคล้ายคลึงกับอวัยวะของมนุษย์และสัตว์ เพื่อ นำ มารักษาบำ บัดโรคที่เกิดกับอวัยวะนั้น ๆ โดยอาศัยสถิติแบบง่ายๆ บางครั้งก็เป็นการ เสี่ยงแต่ไม่ได้ยึดเป็นหลักตายตัวเสมอไปซึ่งเป็นพื้นฐานการค้นคว้าวิทยาการทางแพทย์และ เภสัชกรรมยุคต่อๆ มา ส่วนยุคใหม่ปัจจุบันเป็นช่วงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่มีกฏ เกณฑ์ทฤษฎีพิสูจน์ความถูกต้องได้แม่นยำ ในเรื่องชนิดสารธรรมชาติในพืชนั้นๆ ปริมาณที่ สกัดได้และนำ มาใช้ปรุงแต่งเป็นตำ หรับยาแพทย์แผนปัจจุบัน หรือนักวิจัยบางกลุ่มมุ่งไปใน เรื่องสารเคมีในพืชชนิดต่างๆ เพื่อสร้างอุตสาหกรรมผลิตยาและอาหารเสริมสุขภาพจากพืช สมุนไพร
นอกจากนี้ยังมี

     ขณะนี้สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ และอื่น ๆ กำ ลังผลิตสารธรรมชาติสำ คัญจาก พืชสมุนไพรโดยใช้เทคนิคการเพาะเนื้อเยื่อ เพื่อเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว และตัดขั้นตอน ด้านการสังเคราะห์ ในอนาคตต้องใช้วิทยาการไปโอเทคโนโลยียังตามไม่ทันคงต้องผลิตพืช สมุนไพรในรูปสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำ เร็จรูป ในระยะเริ่มวิจัยพัฒนานี้การปลูกพืชสมุนไพร จะต้องคำ นึงถึงชนิดที่สนองความต้องการนำ ไปใช้เป็นยาบำ บัดโรคนานาชนิดที่ฝ่ายแพทย์ เภสัชค้นคว้าได้ผลดีแล้ว รวมทั้งส่งออกไปจำ หน่ายยังต่างประเทศด้วย อุตสาหกรรมที่ใช้ พืชสมุนไพรเป็นวัตถุดิบ ได้แก่ 
  1. อุตสาหกรรมการผลิตจากพืชเส้นใยเพื่อสุขภาพบรรเทาอาการโรคเบาหวาน ผู้ไม่อยากอ้วนเกินความจำ เป็น และผู้ที่มีระบบการระบายไม่ปกติ 
  2. อุตสาหกรรมการผลิตทดแทนสารเคมีเพื่อใช้ในการป้องกันกำ จัดโรคแมลง ศัตรูพืช เช่น หางไหล ว่านนํ้า ข่า สะเดา หนอนตายยาก ฯลฯ เพื่อช่วย ลดมลภาวะจากสารเคมีทั้งในดินและนํ้า 
  3. อุตสาหกรรมสีผสมอาหาร ยา เครื่องสำ อาง 
  4. อุตสาหกรรมนํ้ามันปรุงยาทา ถู นวด 
  5. ผลิตยาจำ พวกที่ใช้ปฐมพยาบาลในชนบทห่างไกล เช่น ยาห้ามเลือด เป็นต้น 
  6. ผลิตต้นอ่อนสมุนไพรพันธุ์ดีขาย เช่นเดียวกับ จีน เกาหลี ที่นำ เงินเข้า ประเทศได้มาก


No comments: