Tuesday, September 16, 2008

เล่าไปเรื่อย..


ความมืดมิดค่อย ๆ เลือนลางออกมาเป็นแสงสว่างทีละนิด ๆ ค่อย ๆ บิดตัวไปมาซึ่งทำให้หายงัวเงียไปได้บ้าง มองขึ้นไปข้างบนก็เจอแต่ฝ้าเพดานแต่ทำไมผมยังมองดูได้ตั้งนานสองนานก็ไม่รู้ หรือว่าข้างบนฝ้าเพดานมีอะไรซ่อนอยู่ ? อาจจะมี นก หนู แมว แมลงสาป ยุง แมวน้ำ ยีราฟ นกเพนกวิน ไดโนเสา ไดโนอาทิตย์ หรือว่าอาจจะมีศพหญิงสาวที่โดนฆาตรกรรม ไม่เอา ๆ น่ากลัวเกินไป คิดไปได้ งั้นเอางี้หรือว่าจะมีนางฟ้าผมสั้น(ไม่เอาผมยาว ไม่ชอบ)กำลังจ้องมองเราอยู่ เอาไงดี งั้นขอพรดีไหม ดีก็ดี ขอก็ขอ งั้นขอให้โลกเราสงบสุขแล้วกัน ฮ่า ... เพ้อฝันตอนตื่นนอน


มองไปนอกหน้าต่าง เอะ .. อ๋อ ไม่มีอะไร อ๋อ มีนกบินผ่านไป แค่นั้น .. มันไม่มีอะให้หน้ามองเลย มีแต่บ้านกับบ้านและก็บ้าน ทำไมไม่มีทุ่งหญ้า ทุ่งนา ภูเขา ป่าไม้ เวลาเช้าตรู่จะมีหมอกลงมา นั่งจิบกาแฟ ปล่อยใจ ทอดสายตาออกไปดื่มด่ำกับธรรมชาติ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ชิ้นสด ในชีวิตของคน ๆ หนึ่งน่าจะมีเวลาไปอยู่กับธรรมชาติบ้างไม่มากไม่น้อยสัก 1 อาทิตย์ เพื่อคลายอารมณ์เครียดจากการทำงาน จากความรัก .. บางทีมันอาจจะทำให้เรากลับมาเป็นคนใหม่ก็ได้ บางครั้งปัญหาที่เราแก้ไขไม่ได้ เวลาที่เราอยู่กับธรรมชาติ บางทีธรรมชาติอาจจะช่วยเราเราได้บ้าง





คนเราชีวิตมันไม่แน่ไม่นอนเอาเสียเลย บทจะดีก็ดี บทจะไม่ดีก็มีแต่เรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจเข้ามารุมเร้า บางทีอยากจะไปให้ไกล ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนแต่ขอให้ไกลก็พอ ฮ่า .. ยังไงก็พูดถึงเรื่องธรรมชาติแระก็ขอต่อยาวเลยแล้วกัน


ขอเล่าเรื่องไปเที่ยวภูกระดึงดีกว่า ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว มีความคิดว่าอยากจะไปเที่ยวภูเขา อยากไปลุย ไปเดินป่าซึ่งเป็นความฝันและคิดมานานแล้วแต่ไม่ได้ไปซะที พอดีตอนนั้นเพื่อนก็ว่างและก็ไม่ได้ไปไหนก็เลยนัดกันไปซะเลย(ไปกับเพื่อน 3 คน ชายล้วน)พอตัดสินใจกันทุกคนแล้วก็เลยวางแผนกันเลย ว่าจะไปวันไหน ตื่นเต้นมากเลยความฝันจะเป็นจริงแล้ว คิดมากน่าดูว่าจะเอาอะไรไปบ้าง เอาเสื้อไปกี่ตัว เอากางเกงไปกี่ตัว ต้องใส่รองเท้าแบบไหน เอาผ่าห่อมกับที่นอนไปด้วยหรือป่าว เตาแก๊ส หม้อ กะทะ น้ำปลา ผงชูรส กะปิ ปลาร้า โอ้ย .. คิดมากน่าดูสุดท้ายเอาไปแค่ เสื้อ 4 ตัวกางเกง 3 ตัว กล้อง แค่นั้นเองไอ้เราก็วิตกจริตไปมากขนาดนั้น


เริ่มเดินทางกันเลยแต่จำไม่ได้แหละว่าวันที่เท่าไหร่ แต่จำได้ลาง ๆ ว่าเดินทางไปก่อนปีใหม่ เริ่มแรกก็ไปขึ้นรถที่ บขส สกลนครเพื่อที่จะไปอุดรฯ พวกเราก็จัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยนั่งรถจากสกลนครไปอุดรธานี ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงน่าจะได้ บอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าไม่รู้จักเส้นทางเลยว่าจะไปภูกระดึงทางไหน พอไปถึงอุดรพวกเราลงจากรถแล้วก็มองหน้ากันประมาณ 124 วินาที แล้วก็เอ่ยปากออกมาว่า "ไปทางได๋ต่อว่ะ" แล้วก็มีเสียงตอบกลับมาว่า "มานำกันสิถามไผ๋หล่ะ" ๕๕๕ เป็นภาษาอีสาน มาด้วยกันแล้วจะให้ถามใคร เพื่อนบอกมาว่างั้น ..


พอไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ ก็เลยไปถามคนที่อยู่แถวนั้น เอ่อลืมไปว่ารถที่ไปอุดรนั้นไม่ได้จอดที่ บขส แต่มันจอดตามจุดจอดธรรมดาเป็นป้ายรถเมถ์ประมาณนั้น ก็เลยไปถามรถสองแถวว่าจะไปเมืองเลยจะต้องไปขึ้นรถที่ไหน คนขับรถสองแถวก็บอกว่าไปขึ้นที่ บขส ใหม่ พวกเราก็เลยเหมารถสองแถวของคนที่เราถามเลยแกก็พาเราซิ่งไปประมาณ 15 นาทีได้ ลงจากรถจ่ายค่ารถแกไป 120 บาท ถ้าจำไม่ผิด ระยะแค่นั้นแกเก็บตั้ง 120 ถือว่าแพงไป แต่ก็ไม่ว่ากันก็เราไม่รู้จักทางนี่หว่า ไปถึงน่าจะประมาณ เที่ยงได้แล้วมั้งก็เลยหาอะไรกินกันก่อน ไม่บอกก็รู้ว่าพวกเราจะสั่งอะ ตำบักหุ่ง(ส้มตำ) ลาบ น้ำตก ทะเล ต้มแซ่บ รอสักครู่อาหารที่สั่งก็มาทีหล่ะอย่าง ผมจะบ้าตายส้มตำมาก่อนแล้วรอ ลาบน้ำตกอีกเป็น 10 กว่านาที คิดในใจอยู่ว่าคนทำอาหารคงกำลังฆ่าวัว ควาย อยู่มั้งทำไมมันทำนานกันจัง พออาหารมาครบก็ลงมือกินกันเลย ก็กินกับข้าวเหนียวตามปกติ กูจะบ้าตาย .... ทุกอย่างที่สั่งมาหมาไม่แด๊ก อะไรของมันนานก็นานกว่าจะได้ พอได้กินรสชาดก็หมาไม่แด๊กอีก จะไปคนทำว่าเอาอะไรทำเหรอครับก็ไม่กล้า กลัวเค้าจะบอกว่า "เอาตีนทำ" แล้วก็โดนสหบาทาซะก่อนจะได้ไปเที่ยวกัน


เอาว่ะ .. สั่งมาแล้วก็กิน พอกินเสร็จก็จ่ายเงินส้มตำ 30 ลาบ 50 น้ำตก 50 ต้มแซบ 50 ข้าวเหนียวกระติ๊บละ 5 บวก ลบ คูณ หาร กันเอาเอง พอเดินออกจากร้านได้ก็หันหน้าเข้าไปในร้านแล้วตะโกนในใจดัง ๆ ว่า "มึงไม่ได้เงินกูอีกแน่" ฮ่า ..


พออิ่มแล้วพวกเราทั้งคณะ (3 คน) ก็จะไปซื้อตั๊วเพื่อที่จะไปจุดหมายปลายทาง แต่ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าจะไปทางไหน ก็เลยไปถามคนขายตัว เอ้ย ขายตั๊ว ว่าจะไปภูกระดึงต้องขึ้นรถสายไหน คนขาวตั๊วก็บอกมาเรียบร้อยว่าขึ้นสายไหน ไปลงตรงไหน ขอผ่านตรงจุดนี้ดีกว่าครับเพราะจำไม่ค่อยได้ ขอเริ่มตรงการจะปีนขึ้นภูกระดึงเลยดีกว่าครับ


เราไปพักกันที่รีสอทแห่งหนึ่งใกล้ ๆ กับภูกระดึงเพราะว่าไปถึงก็เย็นแล้ว ก็เลยหาที่พักก่อนแล้วตอนเช้าก็ค่อยเดินทางขึ้นภูกระดึง เราก็ไปหาซื้อของที่จำเป็นจำพวกอาหารไว้มากมายเลย เช่น มาม่า ไวไว ยำยำ กุ๊งกิ๊ง เยอะแยะเลย ทั้งเส้นหมี่ เส้นธรรมดา เราไม่อดตายแน่ ฮ่า .. แต่ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเครื่องดื่ม ไม่ต้องบอกนะครับว่าคืออะไร เราก็ซื้อไป 4 ขวดก็เป็น ไม่ใช่ว่าติดเหล้าหรือว่าอะไรนะครับ เพราะว่าอากาศมันหนาวก็เลยต้องมีแอลกอฮอร์ไว้เสริมสร้างความอบอุ่นบ้าง(แก้ตัว)


ตอนเช้าเราก็เตรียมตัวออกเดินทางปีนขึ้นภูกระดึง นั่งรถสองแถวจากรีสอทไปที่ตีนภูกระดึงประมาณ 20 นาที ตอนที่นั่งรถไปก็มองสถานที่ ๆ ผ่านไปตลอดทางดูแปลกตาดี พอไปถึงเราก็เข้าไปดู ศึกษาการใช้ชีวิตเวลาขึ้นไปอยู่ข้างบน และก็เสียค่าธรรมเนียมให้ทางอุทยานกี่บาทจำไม่ได้แล้ว และแล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้น ...


บนทางเดินขึ้นภูช่วงแรกก็เดินสบายหน่อย มีคนเดินขึ้นลงกันตลอดทางเดิน ผมและเพื่อนก็เดินกันไปคุยกันไป มองสาว ๆ มีความสุขจริง ๆ เราก็เดินไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ๆ เดินมาได้สักพักก็เจอหญิงสาวคนหนึ่งกับเด็ก 2 คน พอเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินว่าเด็กผู้ชายร้องไห้เดินไม่ไหวแล้วอยากจะลงไป น่าสงสารมาก ส่วนผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่ก็เหมือนจะโมโหบอกว่า มาแล้วก็ต้องขึ้นสิ เป็นผู้ชายทำไมใจเสาะแบบนี้ เด็กคนนั้นก็ยังไม่ยอมร้องไห้ว่าไม่ไหวแล้วอยากจะลง พอสักพักผู้หญิงคนนั้นก็เลยให้เด็กอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิงพาลงไป เราก็คิดในใจว่าเอาแล้วไงเดินมาไม่ถึงไหนก็เจอเหตุการณ์แบบนี้แล้ว แต่ก็ไม่คิดอะไรมากเพราะน้องเค้ายังเด็กคงจะไม่ไหวเพราะว่าเค้าเป็นเด็ก เราก็เดินขึ้นไปคุยกับเพื่อนหัวเราะกันตลอดทาง เดินไปถึงชั้นไหนไม่รู้ตกใจมากกับภาพที่เห็นข้างหน้า เป็นคนแก่ 2 คน อายุประมาณ 65 ขึ้น น่าจะเป็นสามี-ภรรยากัน เดินขึ้นไปต้องยอมรับว่าทั้ง 2 ท่านแข็งแรงมาก ยอมรับเลย เฮ้อ..ชักจะง่วงแล้วขอตัวนอนก่อนแล้วกันค่อยมาต่อใหม่..
ต่อกันเลยครับ ผมอึ้งเลยครับที่เห็นคนแก่สองคนเดินจูงมือกันขึ้นภูกระดึง เพราะว่าก่อนขึ้นมีคนบอกไว้ว่าถ้าหนุ่มสาวเป็นแฟนกัน ถ้าขึ้นภูกระดึงจะเป็นบทพิสูจน์ว่าถ้าจะเลิกก็เลิกกันตอนขึ้นภูนี่แหละ หรือว่าถ้าผ่านไปได้ก็จะรักกันมากขึ้น ที่จริงมันคงจะเป็นประมาณว่าเวลาขึ้นมันเหนื่อยก็เลยเป็นบทพิสูจน์ว่าฝ่ายชายจะดูแลแฟนเราได้ดีแค่ไหน ถ้าดูแลไม่ดีก็อาจจะทำให้ฝ่ายหญิงมองออกว่าฝ่ายชาติดูแลไม่ดี ไม่เหมาะที่จะมาดูแลฝ่ายหญิงได้ ก็ว่ากันไปครับ แต่ผมมองคนแก่สองคนเดินขึ้นไปเรื่องเล่าที่ว่ามาคงไม่มีผลว่าจะเลิกหรือไม่เลิกหรอกครับ เพราะว่าดูจากอายุแล้วถ้าเลิกกันก็คงจะหาแฟนใหม่ยากแล้วหล่ะ ๕๕๕
พอผ่านคนแก่สองคนไปเราก็เดินขึ้นไปเรื่อย ๆ ชักจะเริ่มปวดขาแล้วแต่ก็ไม่มาก เส้นทางก็ดูจะยากลำบากมากขึ้น คนเดินลงสวนทางกันมากก็เยอะคนเดินขึ้นไปก็เยอะ บางทีมาเป็นคู่ บางทีมาเป็นคณะ ก็ดูสนุกดี ตลอดทางที่เราเดินผ่านไปตรงจุดไหนที่ดูสวยและเป็นที่เหมาะแก่การถ่ายรูปเราก็จะถ่ายเก็บไว้ เฮ้อ ชักจะขี้เกียจเล่าแล้วแฮะ ขอเริ่มตอนถึงยอดภูเลยแล้วกันนะ ...
อีกไม่ถึง 100 เมตร ข้างหน้าเราก็พอจะมองเห็นแล้วว่าเป็นยอดภูกระดึงพวกเราดีใจมากเลย ก็เร่งว่าจะรีบขึ้นไปแต่ทำไม่ได้ครับเพราะว่าขามันล้ามาก ทรมานมาก ปวดฝ่าเท้า ทรมานสุด ๆ แต่และแล้วเราก็ผ่านพ้นการเดินปีนขึ้นภูกระดึงได้แล้ว เย้ ๆ ๆ ๆ พอขึ้นถึงข้างบนได้ก็ดีใจกันยกใหญ่ชวนกันไปถ่ายรูปที่ระลึกที่เป็นป้ายที่บอกว่าพิชิตภูกระดึง ก็ไปถ่ายรูปกันสักครู่ก็นั่งพักดื่มน้ำกันก็คิดว่าคงอีกไม่ไกลแต่ที่ไหนได้ตูจะบ้าตายยังเหลืออีกหลายกิโล ปวดเท้าก็ปวดแต่ก็ต้องทนเดินตอไป ต่อไป ต่อไป และก็ต่อไปสุดท้ายพวกเราก็ทำความฝันให้เป็นจริง เราสามารถเดินทางถึงที่ทำการบนยอดภูกระดึงได้แล้ว ดีใจมากเลยครับท่านผู้ชมแต่ขาก็แทบจะเดินไม่ได้เลยเพราะว่าไม่ได้ฟิตก่อนที่มา
หลังจากที่เราถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็จัดการไปเช่าเต้น อุปกรณ์ยังชีพต่าง ๆ เช่น ผ้าห่ม เตา หมอน เพื่อที่จะไปตั้งเต้นและพักกัน พอเราเช่าอุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็หาที่ทางตั้งเต้นกัน พวกเราสามคนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าทำเลที่ตั้งเต้นจะต้องมีเต้นสาว ๆ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แฮะ ๆ .. แต่ที่ไหนได้หายากมากเลยเพราะตอนนั้นคนเริ่มที่จะไปเที่ยวเยอะแล้วและเลือกที่ตั้งเต้นไม่ค่อยได้ แต่ก็ยังดีที่พอจะมีเต้นสาว ๆ อยู่ใกล้ ๆ บ้างค่อยยังชั่วหน่อย พอเราตั้งเต้น จัดที่จัดทางเสร็จเรียบร้อยก็นั่ง ๆ นอน ๆ พักผ่อนกันสักพักเพราะว่าขาและเท้ามันปวดและเจ็บมาก ทรมานบอกไม่ถูกเลยไม่อยากจะลุกเดินไปไหนเลย พอค่ำ ๆ เราก็เริ่มหิวกันก็เลยจัดการทำกับข้าวกินกัน อาหารไม่ต้องกังวลครับเพราะว่าเราเตรียมมาเยอะมาก
พอตั้งเตาก่อไฟเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาโชว์ฝีมือการทำกับข้างบ้าง ยำปลากระป๋อง ต้มมาม่า ไวไว ยำยำ ทอดไข่ วู้ ๆ น่ากินทั้งนั้นส่วนข้าวก็ไปซื้อที่ร้านค้าราคาแพงมากครับ ข้างบนสินค้าทุกอย่างแพงมากขอบอก พอกินข้าวกินปลาเสร็จเรียบร้อยก็นั่งให้ข้าวย่อยก่อนสักพักแล้วก็ว่าจะนั่งกินเหล้ากัน ..
พอข้าวย่อยเรียบร้อยแล้วคอเหล้าทั้ง 3 คนก็พร้อมที่จะร่ำสุราท่ามกลางท้องฟ้าที่เปิดกว้างพร้อมกับดวงดาวเต็มท้องฟ้า เสมือนกับว่าออกมาต้อนรับพวกเราทั้ง 2 คน ข้าง ๆ เต้นเราเป็นเต้นของนักเรียนมัธยมซึ่งมากันเยอะมากก็กำลังนั่งกินเหล้ากันอย่างสนุกสนาน ส่วนพวกเราสามคนก็นั่งกินกันคุยกันไปตามประสาชายโสด แอบมองนักเรียน(สาว)กินเหล้ากันด้วยความชื่นชม(อิจฉา) พอเหล้าหมดก็เข้านอน เฮ้ออ.. มันเหนื่อยและทรมานจริง ๆ ครับ ก็เลยนอนหลีบกันสนิทถึงแม้อากาศจะหนาวมาก.. แล้วค่อยมาต่อกันนะครับ ..

No comments: